เวฬาร
(คำเตือน: เรื่องราวนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง และการใช้ภาษาที่ไม่สุภาพ)
บทที่ 1 หนี้ของอสุรา
แผงขายของเล็กๆ หน้าโรงช่างของครูเทียนเต็มไปด้วยงานแกะสลักไม้จิปาถะ... รูปนก รูปปลา กำไลไม้... งานฝีมือของลูกๆ เขา ไม่ใช่ของตัวเขาเอง ผมหยิบรูปสลักนกตัวเล็กขึ้นมาดู มันเป็นงานที่ดี แต่ไร้จิตวิญญาณ... เป็นแค่ของที่ทำขึ้นเพื่อขาย
ผมยืนรออยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ จ่าสิงห์ เดินผ่านเข้าไปในโรงช่างที่เปิดประตูอ้าซ่า เสียงพูดคุยและเสียงสิ่วกระทบไม้ดังออกมาจากข้างใน
ผมได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของชายหนุ่ม... นั่นคงเป็น บักเทา ลูกชายเลือดร้อนคนโต ตามมาด้วยเสียงทุ้มๆ เป็นสำเนียงคนขุนแท้ของผู้เป็นพ่อ... ครูเทียน... ที่น่าจะกำลังยกเหตุผลสวยหรูเรื่องแรงบันดาลใจมาต่อรองเหมือนเคย
ผมเหลือบมองเข้าไปข้างใน ผ่านช่องว่างระหว่างพวงผลไม้สลัก เห็นลูกชายอีกสองคน... คนหนึ่งกำลังนั่งเล่นนั่งสลักชิ้นงานอะไรบางอย่างแบบเข้าถึงอารมณ์... เข็ม... ส่วนคนเล็ก... เงิน... กำลังเช็ดถูหน้ากากที่วางแสดงอยู่ด้วยท่าทีเบื่อหน่าย เขาเหลือบมาสบตาผมโดยบัญเอิญ เราสบตากันสักพัก ก่อนที่เขาจะหันไปปัดแมลงออกจากแขนของตน ผมเปลี่ยนเป้าสายตาไปที่ศูนย์กลางของทั้งหมด... แม่หญิงอร... ภรรยาของครูเทียน นางเพียงแค่นั่งนิ่งๆ มองดูจ่าสิงห์ด้วยสายตาที่สงบเสงี่ยมจากโต๊ะนับเงินของร้าน
เสียงของบักเทาดังขึ้นอีกครั้ง “ออกไปก่อน มื้อนี่ลูกค้าหลาย!”
“ข้อยมาตามที่นัดไว้ขอรับ ท่านครู” จ่าสิงห์ว่า
บักเทาโต้กลับทันที “ฮอดยามมีใซ้ กะสิไซ้อยู่แล้วดอกวะ” (เมื่อถึงยามมีก็จะใช้คืน)
ครูเทียนปรามลูกตัวเองไว้และให้ออกไปยืนข้างหลังกับน้องๆ
“สัญญาที่ท่านเฮ็ดไว้กับสมาคมค้าไม้ ครบกำหนดมาสามจันทร์แล้ว” จ่าสิงห์ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเดิม
“บัดนี้สิทธิ์ในสัญญานั้น ถือโอนมาให้นายประกันเดชเป็นผู้ดูแล…”
“ลมหายใจของงานศิลป์ มันพัดตามเวลาท้องตลาดบ่ได้ดอก จ่าสิงห์” ครูเทียนพูดเสียงดังชัด แต่รักษาความนุ่มนวล ตั้งใจประกาศให้บรรดาลูกค้าได้ยินโดยพร้อมกันด้วย
ผมวางรูปสลักนกลงที่เดิม
ไม่นานนัก จ่าสิงห์ก็เดินกลับออกมา สีหน้าของเขาเรียบเฉยเหมือนเคย เขามองหน้าผม พูดเบาๆ ขณะที่เดินผ่านไป “ไม้ยังแข็ง”
ผมพยักหน้า “ให้เวลาพวกเขาหน่อย” ผมตอบกลับไปในใจ “สักชั่วโมงแล้วกัน”
…
เมื่อผมก้าวเข้าไปในโรงช่าง... กลิ่นรักเคลือบเงามันทำให้ผมปวดหัว…
เสียงหัวเราะของสามพี่น้องเงียบลงทันที บักเทาที่กำลังคุยโวอยู่หันขวับมา สีหน้าของมันเปลี่ยนจากความคึกคะนองเป็นตื่นตระหนก เข็มดีดตัวขึ้นมาจากการเอนพิงกำแพง ส่วนเงินถอยครูดโดยไม่รู้ตัว
ผมไม่ได้สนใจพวกเขา ผมเดินต่อไป…
และตรงนี้เอง... ตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นไม้สักกลางห้อง คือผลงานที่ทำให้ครูเทียนเป็นตำนาน... “เศียรอสุราจันทรคาธ” หัวโขนจากเรื่องเล่าโบราณของเวฬาร "พญาอสุรากลืนจันทรา" มันคือผลงานที่ทำให้เขาได้รับรางวัล "ยอดศาสตราแห่งศิลป์" จากราชสำนักขุนใหญ่ รางวัลที่ทำให้เขาเชื่อว่ามันคือโล่ห์คุ้มกันและเกราะเสริมสร้างบารมีให้กับชีวิต ดวงตาของอสูรดูราวกับมันกำลังจ้องเขม็งเข้ามาในดวงวิญญาณของผู้มอง... เป็นดวงตาคู่ที่เปี่ยมด้วยความทะนงตน กำแพงหนา และโศกนาฏกรรมในเวลาเดียวกัน
บักเทาพยายามรวบรวมความกล้า “อีหยังอีกครับ!”
ผมไม่ตอบ แต่ ส้ม เจ้าเสือโคร่งร่างยักษ์ที่เดินมาคู่กัน... ตอบแทนผม
ฮึ่ม..
มันเป็นแค่เสียงคำรามในลำคอ แต่ก็หนักแน่นพอที่จะทำให้พื้นไม้สั่นสะเทือนได้ ลูกชายทั้งสามคนตัวแข็งทื่อเป็นรูปสลัก สัญชาตญาณเอาตัวรอดของพวกเขากรีดร้องดังยิ่งกว่าทิฐิใด
ลูกค้าห้าถึงหกคนเร่งฝีเท้ากรูกันออกจากร้าน ชายคนหนึ่งเตะไม้ยันประตูหลุดออกไป ทำให้ประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากการเปิดปิดอย่างถิบถี่
ผมเดินผ่าน หยุดยืนอยู่หน้าแท่นบูชาผลงานชิ้นเอก ผมไม่ได้มองครูเทียน แต่ตอนนี้ผมกำลังหันมอง แม่หญิงอร
ผมสบตานางนิ่งๆ ยก "เศียรอสุราจันทรคาธ" ขึ้นมาถือไว้ในมือข้างเดียว... แล้วใช้นิ้วโป้งสัมผัสถึงความสละสลวยของเนื้อไม้ ก่อนเริ่มออกแรงกดลงไปบนเขี้ยวของอสูรที่แกะสลักอย่างวิจิตร... ค่อยๆ เพิ่มแรงกด…
ผมไม่จำเป็นต้องพูด... สายตาของผมกำลังถามนาง 'อยากจะเห็นมันจริงๆ รึ'
ผมเห็นแววตาที่แข็งกร้าวเหมือนหินผาของนาง... สั่นระริก... หน้ากากจอมปลอมเริ่มหลุดไหล…
นางเป็นฝ่ายละสายตาจากผมก่อน แล้วหันไปมองสามีของนาง นางไม่ได้พูดอะไร แต่เริ่มส่ายสบัดหน้า...
ครูเทียนมองหน้าตระหนกของภรรยา... แล้วมองมาที่ผม ซ่อนสองมือที่สั่นระลิกนั้นไปไพล่หลัง...
ครูเทียน: (พูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาและสงบเสงี่ยม) “พอแล้ว... พอ... ข้อยสิจ่าย... ข้อยสิจ่ายเอง เดี๋ยวนี้ล่ะ”
ผมมองและสำรวจดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น วางหัวโขนลงบนแท่นอย่างนุ่มนวลที่สุด หันหลัง และเดินออกมาจากโรงช่าง…
จ่าสิงห์จัดคอเสื้อของตนจนเรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโรงช่าง
ผมหยุดที่แผงขายของเล็กๆ หยิบรูปสลักนกไม้ตัวเดิมที่เคยดูเมื่อครู่ขึ้นมาอีกครั้ง... แล้ววางเหรียญเขียวสองสามเหรียญลงบนแผง… ตามราคาที่ป้ายแขวนบอกไว้… มากกว่าราคาของมันหลายเท่าเมื่อคิดว่านี่เป็นก้อนไม้เล็กๆ ก่อนหนึ่ง… โรงช่างนี้ยังมีอนาคตไกล
…
ความสุขหลังงานเสร็จช่างเป็นเรื่องโป้ปด ไม่เห็นเคยรู้สึกเลย... ผมรู้สึกได้แค่เพียงความเงียบที่ตามมา... และรสชาติหอมเกลือ ร้อนๆ ของปลาเนื้ออ่อนเผาเตาถ่าน
ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำในร้านของ เฒ่ามี กลิ่นควันไม้ที่หอมกรุ่นปนกับกลิ่นข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน... บ้านที่ผมเกือบจะลืมกลิ่นไปแล้ว
เฒ่ามีวางจานปลาเผาร้อนๆ อีกหนึ่งตัว ข้าวเหนียวหนึ่งปั้น และถ้วย "แจ่วบอง" สูตรเด็ดของเขาลงตรงหน้าผม เสิร์ฟพร้อมหนึ่งยิ้ม เขาไม่เคยถามอะไร… เขามั่นใจในคุณภาพอาหารของตน นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ผมมาที่นี่
ขณะตั้งใจเคี้ยวไม่ให้โดนก้าง ผมกลับถูกทิ่มด้วยการนึกถึงแววตาของแม่หญิงอรในเช้าวันนี้ มันทิ่มแทงย้ำให้ผมนึกถึงชีวิตเก่า… นึกถึงบางคนที่อยู่ที่บ้าน
ผ่านไปพักใหญ่ประตูร้านก็เปิดออก... จ่าสิงห์…
เขาไม่ได้เดินเข้ามาในร้าน แต่หยุดยืนรออยู่ข้างนอก เขาให้เกียรติพื้นที่ของผมเสมอ เขาเองก็เคยร่วมกินปลาเผากับผมหลายครั้งที่นี่ ผมสอดเหรียญค่าอาหารมื้อนี้ไว้ใต้ชามเหมือนทุกครั้ง รวมทั้งค่าอาหารเพิ่มเติมสำหรับที่ผมจะขอฝากเจ้าส้มไว้ที่หลังครัว น้องชายผู้ดื่มด่ำกับร้านเฒ่ามียิ่งกว่าใครๆ
เฒ่ามีเหลือบมามองผมแวบหนึ่ง... ในแววตาของเขามีความห่วงใยที่เขาไม่เคยพูดออกมา... ผมรู้... และนั่นก็มากเกินพอแล้ว
…
อากาศใน ซุ้มกากะสัน มันหนัก... หนักด้วยความโลภ ความสิ้นหวัง และกลิ่นหมากเคี้ยวราคาถูก เสียงโห่ร้องจากวง "ชนทาก" ดังกระหึ่มเป็นระยะ ปนกับเสียง "เบี้ยกระดอง" ที่กระทบถาดหนังดังเกรียวกราว
ผมกับจ่าสิงห์เดินผ่านทั้งหมดไปยังโต๊ะมุมในสุด ที่นั่นมีวง "หมากข้ามบาดาล" กำลังเล่นกันอย่างเงียบเชียบ เชิงกลยุทธ์ของเกมดูซับซ้อนเกินกว่าที่คนสติไม่ดีพอจะเล่นได้ และ เจ๊หม่อน ก็ยืนคุมอยู่ตรงนั้น
"โถ้ๆๆ... พาเจ้านายมาหยามถิ่นข้อยฮอดที่เลยติ๊" เจ๊หม่อนทักทายจ่าสิงห์ด้วยสำเนียงติดจะยานคาง แววตาของนางแพรวพราวแบบนักพนันตัวยง “ว่าจังใด๋จ๊ะอ้ายเดช” นางอายุมากกว่าผมอยู่ แต่มักจะแสดงกิริยาเหมือนน้องสาวที่พลัดพรากจากกัน
จ่าสิงห์นั่งลงข้างกระดานหมาก แล้วเริ่มบทสนทนา
เจ๊หม่อนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ทำทีเป็นสนใจเกมหมาก แต่ผมรู้ว่านางมีอะไรจะเล่ามากกว่า นางรู้ทุกอย่าง เพราะทุกเรื่องในเมืองนี้สุดท้ายก็กลายเป็นหนี้พนัน ไม่ก็บุญคุณที่ต้องชดใช้กันในบ่อนของนาง
ผมปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกันไป ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ... มองดูโลกที่ขับเคลื่อนด้วยความโลภและอำนาจดิบ... โลกที่ผมอาจเข้าใจมันดีกว่าโลกของคนปกติ
ชายกลางคนผู้หนึ่งกำลังใช้ดวงตากลวงโบ๋นั่งจ้องหญิงสาวที่กำลังถือถาดส่งบริการเครื่องดื่มหลากสี ผมสบตากับเขาครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหลบตา กลืนน้ำลายแจ็บๆ แล้วหันไปเหล่หญิงสาวต่อ
แล้วผมก็ได้ยินคำที่น่าสนใจ... "ตระกูลสินธุโภคิน"
ผมหันกลับมาใช้สมาธิกับบทสนทนานี้ทันที
เจ๊หม่อนเล่าเรื่องที่ตระกูลสุระกำลังหาคนไปจัดการพวกสินธุโภคิน... แล้วนางก็พูดประโยคสำคัญ
"...ซุมนั่นเป็นสายเงินเส้นสำคัญของ ท่านมาโนช..."
ผมเห็นภาพในหัวชัดเจน... ตระกูลสินธุโภคินคือกระเป๋าเงินของมาโนช... และมาโนชคือ สมุหเทศาภิบาลแห่งศาลาว่าการแก้ว มันสมองที่บริหารจัดการทุกกลไกในเมืองนี้... เขาคือหัวใจของท้าววิรุณ การไปแตะต้องสินธุโภคิน ก็เหมือนการเอามีดไปจ่อที่หัวใจของเจ้าเมือง…
นี่ไม่ใช่การทวงหนี้ธรรมดา... มันคือคำประกาศสงครามที่ตระกูลสุระปอดแหกเกินกว่าจะป่าวประกาศด้วยตัวเอง... พวกมันเลยต้องหาหมาล่าเนื้อ
จ่าสิงห์มองมาที่ผม สายตาของเขากำลังไถ่ถามอย่างชัดเจน “โอกาสของเจ้าที่เฝ้าหามาถึงแล้ว จะลงเดิมพันหรือไม่”
ผมครุ่นคิด... ท้าววิรุณสร้างเมืองนี้ขึ้นมาบนภาพลวงตาของกฎหมาย การค้าที่เสรี และความสง่างามของศาลาว่าการแก้ว... แต่ลึกลงไปใต้เปลือกนอกที่สวยงามนั่น กฎที่แท้จริงที่ขับเคลื่อนเมืองนี้ก็คืออำนาจ... และผมคืออำนาจในแบบที่เขาไม่มีวันเข้าใจ… หลายงานที่ผ่านมายังมือผม มีต้นตอมาจากตัวเขาเอง หรือการที่เขามีเอี่ยวด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
การปะทะกันมันเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว... มันเป็นแค่เรื่องของเวลาและเงื่อนไขเท่านั้น ตระกูลสุระแค่หยิบยื่นเงื่อนไขที่ดีที่สุดมาให้ผมก็เท่านั้นเอง
ผมสบตาจ่าสิงห์... แสดงสายตาแข็งกร้าวให้เขาได้รู้สึก
จ่าสิงห์หันกลับไปหาเจ๊หม่อน "นัดผ้อกันโลด" (นัดพบกันได้เลย)
บทที่ 2 สภาของพยัคฆ์
ห้องชั้นบนของร้านค้าไหม "สุระพานิช" หรูหราจนน่าอึดอัด พื้นไม้ขัดมันวาววับสะท้อนเงาของทุกคนเหมือนผิวน้ำ มีเสียงแคนภูเขาเบาๆ ลอยมาจากที่ไหนสักแห่งในอาคาร... เป็นเสียงดนตรีที่อาจพยายามจะสร้างความผ่อนคลาย หารู้ไม่ยิ่งทำให้บรรยากาศตึงขึ้น ทั้งห้องถูกจัดเตรียมไว้สำหรับการเลี้ยงต้อนรับมากกว่าการเจรจา โต๊ะไม้ขนาดใหญ่กลางห้องเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส... เป็ดภูเขาย่างหนังกรอบ ปลานึ่งเครื่องเทศ และผลไม้หายากส่งตรงจากแดนใต้ กลิ่นหอมของอาหารและเครื่องดื่มชั้นดีลอยอบอวลไปทั่วห้อง
หลวงสุระ นั่งอยู่หัวโต๊ะ เขาอยู่ในชุดผ้าไหมสีม่วงสว่างที่ดูเหมือนจะตะโกนบอกราคาของมันออกมา แต่ปลายนิ้วที่เคาะเบาๆ เป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอบนที่วางแขนนั้น กำลังบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่าง... เรื่องของความไม่มั่นคงและความกระหายในอำนาจ ข้างกายของเขาคือลูกชายคนโต ชายคำ ที่พยายามจะทำหน้าตาให้ดูภมิฐาน แต่กลับดูเหมือนเด็กที่กำลังเกร็งมากกว่า และที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปเล็กน้อย คือ เถ้า หรือเรียกกันในวงกว้างว่า ลุงเถ้า... พี่ชายของหลวงสุระ ซึ่งเป็นอดีตหลวงสุระคนก่อนที่เกษียณตัวเองจากตำแหน่งผู้นำไปแล้ว แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเขายังคงเป็น "เงา" ที่บงการอยู่เบื้องหลัง เขายิ้มด้วยปากให้ผมอย่างเป็นมิตร แต่แววตานั้นไม่ยักจะยิ้มออกมาด้วย ส่วนคนที่สี่... ด้วง… ชายอีกคนที่พวกเขาแนะนำตัวว่าเป็น "ผู้ดูแลความปลอดภัย" ยืนสงบนิ่งอยู่มุมห้อง
ผมปล่อยให้ จ่าสิงห์ เป็นคนนั่งลงที่โต๊ะเจรจา ส่วนผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเล็กกว่า...เยื้องไปทางด้านหลังและอยู่ในเงามืด... ส้มหมอบนิ่งอยู่ข้างๆ เท้าของผม กลมกลืนไปกับความมืดในห้องจนแทบจะมองไม่เห็น การอยู่ในตำแหน่งนี้ทำให้ผมเห็นทุกคน... รวมถึงทุกทางเข้าออก
ลุงเถ้า: นายประกันมากินนำกันแหมครับ
จ่าสิงห์: (หันมามองผมครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับไป) “ทางนั้นเขาเรียบร้อยแล้วครับ”
ผมไม่เคยดื่มกับลูกค้า... การร่วมโต๊ะสร้างบุญคุณ... และบุญคุณคือโซ่ตรวน
บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นด้วยการพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศตามมารยาท ก่อนที่ลุงเถ้าจะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นอย่างนุ่มนวล
ลุงเถ้า: (หัวเราะเบาๆ) “ข้อยนี่ได้ยินชื่อเสียงของนายประกันเดชมาแต่โดนแล้ว... (มานานแล้ว) แต่เพิ่งสิได้เห็นตัวจริงกะมื้อนี้... เขาว่ากันว่านายประกันเป็นคนบ่ค่อยมักเว้า (ไม่ค่อยชอบพูด) แต่ฝีมือการเฮ็ดงานนี่... คมยิ่งกว่าคางปลาเหลาเสียอีก”
จ่าสิงห์หยุดจิบชาอัสดร ปล่อยให้คำชมของเขาแขวนอยู่ในอากาศ
ลุงเถ้า: “ยังจำคดีของสมาคมค้าอัญมณีเมื่อปีก่อนได้ดี... เขาว่าบักขุนพิพัฒน์ถึงกับต้องคลานสี่ขาออกมาส่งมอบหนี้ให้ถึงหน้าตลาดกลางคืน... แล้วพยัคฆ์ของเจ้าน่ะ... (เขาเหลือบมองส้มที่นอนนิ่งอยู่) ...บ่มักให้ไผยื่นมือให้... งับมือคนเก็บส่วยไปเที่ยะนึง บ่ได้จับเงินไปหลายเดือน”
เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง หลวงสุระกับชายคำก็หัวเราะตามมารยาท
ลุงเถ้า: (มองมาที่ผมโดยตรง) “ข้อยนี่อยากจะแสดงความเคารพมันอยู่ดอก... แต่สงสัยต้องไหว้แบบบ่ต้องพนมมือให้แล้วล่ะเนาะ... ฮ่าๆๆ”
หลานชายของเขาหัวเราะออกนอกหน้า ผมยังคงนิ่ง...
หลวงสุระที่เห็นว่าผมไม่เล่นด้วยจึงกระแทกไหอุนาคาลงบนโต๊ะอย่างแรงเสียงดังจนกระฉอกไปทั่ว เสียมารยาทที่สุด
หลวงสุระ: (ตะคอก) “เรื่องตลกเอาไว้ก่อนเถอะลุง! เรื่องของเฮามันบ่แม่นเรื่องตลก!”
เขาหันมาทางจ่าสิงห์ ดวงตาของเขาแดงก่ำ
ถ้านี่ไม่ใช่แค่การแสดง เขาก็ทำได้ดีกว่าที่ผมมองไว้
หลวงสุระ: “พวกสินธุโภคินมันเผาเรือข้อย! เรือเก้าลำ! เครื่องเทศชาวชลที ที่ข้อยลงทุนไปทั้งเบิด... กลายเป็นขี้เถ้า! มันบ่แม่นแค่ตัดการค้ากันแล้ว... มันอยากได้สงคราม! ข้อเสนอเฮาชัดเจน... เฮาสิเอาท่าบงกช!”
บรรยากาศที่ค่อนข้างตึงอยู่แล้วไม่อาจกู่กลับ ความเครียดเข้ายึดทั้งสามสุระ
ท่าบงกช…
มันไม่ใช่แค่ท่าเรือ แต่เป็น เส้นเลือดใหญ่ ของนครขุนใหม่ ใครที่ควบคุมมัน ก็เท่ากับควบคุมการไหลเวียนของสินค้าสำคัญทั้งหมด... โดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่ามหาศาลที่ผ่าน สัญญาสัมปทานผูกขาด จากศาลาว่าการแก้ว
ผมมองเห็นภาพชัดเจนในหัว... แร่โลหะหายากจากเทือกเขาอัสดร ที่ถูกนำมาถลุงเป็นอาวุธและเครื่องประดับที่แข็งแกร่งและสวยงาม หรือ เครื่องเทศจากชาวชลที ที่อยู่ในหมู่เกาะปะการังไกลโพ้น... พวกเขามีความรู้เรื่องสมุนไพรและพืชพรรณที่สามารถย้อมผ้าให้มีสีสดใส หรือปรุงยาที่ล้ำค่ากว่าทองคำ พวกสินค้าเหล่านี้... ถูกควบคุมโดยตระกูลสินธุโภคินเพียงตระกูลเดียว เพราะพวกเขาคือมือขวาของท่านมาโนช... และท่านมาโนชก็คือมือขวาของท้าววิรุณ…
ตระกูลสุระต้องการโค่นล้มสินธุโภคิน เพื่อที่จะก้าวขึ้นไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นแทน... การยึดท่าเรือครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของท่าเรือ... มันคือการประกาศสงครามกับอำนาจเบื้องบนที่หนุนหลังสินธุโภคินอยู่
ลุงเถ้าถอนหายใจยาว พลางรินอุนาคาใส่จอกของตัวเองอย่างใจเย็น
เขาหันมาทางจ่าสิงห์ สายตาของเขาเปลี่ยนไป จากชายแก่เจ้าสำราญเป็นแววตาของหมาป่าเฒ่าที่ดูเจนโลก
ลุงเถ้า: “ก่อนเฮาสิมาฮอดมื้อนี้... ข้อยไปฮอดศาลาแก้วมาแล้ว... ไปด้วยตัวเอง... เอาหลักฐานจากซากเรือกับคำให้การของนายเรือไปให้เบิ่งฮอดหม่อง… ชายผ้อชาย… แต่ท่านมาโนชเพิ่นว่าจังได๋ฮู้บ่”
เขายกจอกเหล้าขึ้นจิบช้าๆ แล้วผ่อนจอกลง
“เพิ่นว่า... หลักฐานบ่เพียงพอ... (เขาวางจอกลงเสียงดัง กึ่ก) ...บ่เพียงพอ... หรือบ่กล้าเฮ็ดหยังกันแน่... กะในเมื่อตระกูลนั้นมันคือแขนขาของเพิ่นเอง”
เขามองตรงมาที่ผมที่นั่งอยู่ในเงามืด
“ในเมื่อความยุติธรรมของศาลาแก้วมันมีตาไว้เบิ่งแค่คนของมัน... เฮากะเลยต้องมาพึ่งความยุติธรรมในแบบของเจ้า... นายประกันเดช”
จ่าสิงห์ยังคงสงบนิ่งเหมือนเคย เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แลกกับสิทธิ์ในการเดินเรือของตระกูลสุระครึ่งหนึ่งเป็นเวลาห้าปี”
ลุงเถ้าหันไปหาหลานชาย หลวงสุระเอนตัวมาข้างหน้ามากเกินไป... มันอาจแสดงถึงความอยากได้อยากมีจนเกินงาม
“ตกลงตามนี้” หลวงสุระตอบรับทันที
จ่าสิงห์หันมามองผม... รอการยืนยันครั้งสุดท้าย
'สิทธิ์ในการเดินเรือ...' ผมทวนคำในใจ มันเป็นคำพูดที่สวยหรูกว่าความเป็นจริงนัก
ความหมายของมันไม่ใช่ให้ผมไปคุม เรือระวาง เพื่อขนถ่ายสินค้าเอง หรือนั่ง เรือปีกคลื่น ไปทำประมง... เพราะหลังเข้า 'ยึด' ท่าบงกช... กระชากหัวใจทางการค้าของเมืองนี้ออกมาจากอกของตระกูลสินธุโภคิน แล้วเปลี่ยนเจ้าของใหม่เรียบร้อยแล้ว
สัญญาค่าจ้างของผม คือกำไรสุทธิครึ่งหนึ่งของทุกกิจกรรมในนั้น... ไม่ว่าจะเป็นค่าเทียบท่า ค่าเช่าโกดัง หรือค่าสัมปทาน... ทุกเดือน... ตลอดห้าปี มันคือการเปลี่ยนสถานะของผม จาก 'นายประกัน' ให้กลายเป็น 'หุ้นส่วน' ของเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเมืองนี้...
ผมกำลังนั่งจ้องไปที่ด้วง เขาไม่ได้มาจากขุนใหม่... ผมรู้ได้ทันที เสื้อผ้าของเขาอาจจะเหมือนคนของที่นี่ แต่ท่าทางการยืนของเขาไม่ใช่... เขาไม่ได้ยืนเหมือนทหารรับจ้างทั่วไปที่ปล่อยตัวตามสบาย แต่ยืนในท่าพักที่หลังตรงและสมดุล... นิ้วโป้งของเขาวางอยู่บนด้ามดาบในตำแหน่งที่พร้อมจะชักออกมาได้ในเสี้ยววินาที…
มันเป็นท่ายืนที่ผมเคยเห็นมานับพันครั้ง... สมัยที่ผมยังอยู่ที่นั่น…
มันคือท่ายืนพักของทหารในหน่วยรบพิเศษของนครปราการ... หน่วยของภัคร
แปลก วันนี้ทั้งวันมีแต่เรื่องให้ผมหวนนึกถึงบ้านเกิด
ผมไม่ได้พยักหน้ากลับให้จ่าสิงห์ แต่เหลือบสายตาไปมองส้มที่นอนหมอบอยู่ในเงามืด... จ่าสิงห์เข้าใจในทันที เขาหันกลับไปหาหลวงสุระ
จ่าสิงห์: “นายของข้อยมีธรรมเนียม... ก่อนที่สัญญาสิสมบูรณ์ ท่านต้องพิสูจน์ความสัตย์จริงของคำพูดท่าน...”
สิ้นคำพูดของจ่าสิงห์ ส้มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาจากเงามืดอย่างเชื่องช้า... สง่างาม... มันมาหยุดนั่งลงกลางห้อง แสงตะเกียงสะท้อนในดวงตาของมันจนเป็นประกายสีอำพัน
รอยยิ้มของลุงเถ้าหายไปจากใบหน้าโดยสิ้นเชิง ส่วนชายคำหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม
จ่าสิงห์: (ผายมือไปทางส้ม) “เชิญท่านหลวงครับ... ท่านต้องย่อลงไปเบื้องหน้าเขา... แล้วสบตากับเขา... ผมขอเตือนไว้… ห้ามหลบตาเด็ดขาด”
อย่างที่คิดไว้ หลวงสุระตัวสั่นเทา เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เขาหันไปมองลุงเถ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ลุงเถ้าทำเพียงแค่เผยอหน้าใส่... 'ทำซะ... ไม่มีทางเลือกอื่น'
เรื่องตลกก่อนหน้าของลุงเถ้าเรื่อง "งับมือ" คงกำลังดังกังวาลอยู่ในหัวของหลวงสุระ
หลวงสุระกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหาส้มอย่างเชื่องช้า ขาทั้งสองข้างของเขาสั่นจนเห็นได้ชัด เขาค่อยๆ ย่อตัวลงคุกเข่าบนพื้นไม้ดังกรอบแกรบ... ห่างจากอุ้งเท้าหน้าของพยัคฆ์ยักษ์ไม่ถึงหนึ่งวา
ผมมองดูอยู่เงียบๆ มนุษย์เราเก่งเรื่องการโกหก... แต่เจ้าโกหกสัตว์ป่าไม่ได้
หลวงสุระเงยหน้าขึ้น... สบตากับดวงตาสีอำพันของส้ม…
เวลาในห้องพลันหยุดนิ่ง... มีเพียงเสียงหัวใจของเจ้าสัวที่เต้นระรัวจนผมแน่ใจว่าผมได้ยิน... ส้มจ้องตอบกลับไปนิ่งๆ... มันไม่ได้คำราม... ไม่ได้แยกเขี้ยว... มันแค่ ‘ทำความรู้จัก’ ชายที่อยู่เบื้องหน้า
แล้ว... หลังจากที่เวลาผ่านไปราวกับชั่วนิรันดร์...
เจ้าส้มก็ส่งเสียงฮึ่มในลำคอเบาๆ... แล้วกะพริบตาช้าๆ หนึ่งครั้ง
ตอนนี้ม่านตาของมันกลมโต…
ผมพยักหน้าให้จ่าสิงห์
จ่าสิงห์: “สัญญาเป็นอันตกลง”
หลวงสุระทรุดลงกับพื้นทันทีราวกับสิ้นเรี่ยวแรง... ชายคำมาพยุงพ่อของเขาที่ทั้งเปียกโชกทั้งตัวร้อน
“บ่ต้อง!” หลวงสุระตะเพิดลูกชาย
ลุงเถ้านั่งระเบิดหัวเราะอย่างพอใจอยู่ที่นั่งของตน รวมถึงจ่าสิงห์ด้วยที่หัวเราะอย่างโล่งอกเป็นเสียงฟืดๆ ออกมาจากโพรงจมูก
ผมลูบหัวส้มอย่างเอ็นดูตอนที่มันเดินกลับมาหา มันเอาหัวมาถูไถที่ขาผมราวกับจะบอกว่า 'ก็สนุกดี ง่ายออก'
ง่ายรึ ผมคิดในใจ
งานนี้มันยังไม่จบ... มันเพิ่งจะเริ่มต้นต่างหากส้มเอย
ผมมองเลยผ่านความโล่งอกของจ่าสิงห์และเสียงหัวเราะอย่างพอใจของลุงเถ้า... ภาพในหัวของผมตอนนี้มีเพียงภาพของท่าบงกช... และภาพของชายอีกคนหนึ่งที่ยืนรอผมอยู่ที่นั่น… ถ้าทุกอย่างเข้าแผน ชายผู้ซึ่งไม่เคยแพ้ใคร…
...และนั่นต่างหากคือเดิมพันที่แท้จริงของสัญญานี้…
กูจะทำให้มึงเห็น
"ท้าววิรุณ นาคาวงศ์"